| 
                  การเขียนภาพร่าง (Croquis / Sketch) | 
              
                |                 ศัพท์ภาษาฝรั่งเศสใช้เรียกงานเขียนภาพร่าง  (Sketch) ด้วยปากกา ดินสอ หรือแท่งถ่านบนแผ่นกระดาน  เพื่อการร่างภาพด้านสถาปัตยกรรม ประติมากรรม หรือจิตรกรรม  ภาพร่างนี้เป็นเสมือนการถ่ายทอดทิวทัศน์ที่ศิลปินประทับใจ หรือวัตถุสิ่งของ  หรือผู้คนที่ศิลปินพบเห็น หรือเป็นการบันทึกสิ่งก่อสร้างและเหตุการณ์ที่ศิลปินจินตนาการขึ้น  ภาพร่างนี้ได้ชื่อว่าเป็นการจดตัวเลขของเหล่าจิตรกรและสถาปนิก ภาพร่างมักจะวาดด้วยเส้นหยาบๆ  เต็มไปด้วยพลังตวัดไปมาอย่างรวดเร็ว  เพื่อจับอากับกิริยาความรู้สึกแล้วบันทึกลงให้ทันท่วงที  คำนี้ใช้กันน้อยในประเทศอังกฤษ ยกเว้นในกลุ่มผู้ศึกษาศิลปะหรือสถาบันศิลปะ  ส่วนมากใช้เรียกการฝึกร่างภาพในห้องเรียนโดยไม่ต้องมีครูสอน    | 
              
                |  | 
              
                |  | 
              
                |  | 
              
                | การถ่ายรูปร่างวัตถุโดยการลากเส้นขนาน (Projection) | 
              
                | การถ่ายรูปร่างวัตถุโดยการลากเส้นขนาน (Projection) | 
              
                |                 การถ่ายรูปร่างวัตถุโดยการลากเส้นขนาน  คือโครงสร้างชนิดที่ใช้ในงานเขียนแบบ เป็นระบบทัศนียภาพวิทยาซึ่งมิใช่ในเชิงเส้น(linear)  คือไม่มีจุดรวมสายตา  แต่คล้ายคลึงหลักการของ  ทัศนียภาพวิทยาเชิงเส้นในกรณีที่ว่าการถ่ายรูปร่างวัตถุในวิธีการนี้  จะถ่ายทอดในลักษณะสามมิติ ซึ่งถ่ายทอดลงบนสื่อสองมิติ (ระนาบแบนๆ  ของแผ่นกระดาษเขียนแบบ) ส่วนที่แตกต่างกับหลักการของทัศนียภาพวิทยาเชิงเส้นก็คือ  ทัศนียภาพวิทยาเชิงเส้นนั้นมุ่งสร้างการลวงตาให้ดูเหมือนว่าเห็นวัตถุนั้นๆ  ในความเป็นจริงระบบการถ่ายรูปร่างวัตถุโดยวิธีลากเส้นขนานนี้ จะนำไปใช้ในงานเขียนแบบ  เพื่อมุ่งที่จะถ่ายทอดความเป็นจริงของขนาดสัดส่วนและมิติจริงของวัตถุเป็นสำคัญ  และเพื่อที่จะให้ถ่ายแบบในลักษณะนี้ ก็จำเป็นที่ว่าภาพโครงสร้างของงานเขียนแบบนั้น  อาจจะดูผิดแปลกไปบ้างในด้านการรับรู้ทางการเห็น  การถ่ายรูปร่างวัตถุโดยวิธีลากเส้นขนานนี้มี 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ  Axonometric และ Oblique หมวดที่เรียกว่าแอกโซโนเมตริกนั้น  ได้แก่การถ่ายรูปร่างวัตถุ โดยวิธีลากเส้นขนานแบบไอโซเมตริก ไดเมตริก และ ไตรเมตริก ซึ่งมีความแตกต่างกันที่มุมของแกนทั้งสาม  และปริมาณของการย่นระยะภาพแบบกินตาของแต่ละแกนว่ามีมากน้อยแตกต่างกันเพียงไร  ส่วนการถ่ายทอดรูปร่างวัตถุโดยวิธีลากเส้นขนานแบบออบบลิคนั้น  จะถ่ายทอดวัตถุนั้นในลักษณะที่แกนสองแกนของวัตถุจะขนานไปกับพื้นระนาบภาพ  ทำให้ด้านหน้าของรูปเหลี่ยมนั้นหันเข้าหาผู้ดูลักษณะตรง ไม่เอนเอียง  คือมุมทั้งสี่ของด้านนี้จะเป็นมุม 90 องศา ส่วนด้านอื่นๆนั้นจะขึ้นอยู่กับองศาของมุมในแกนที่สามว่าทำมุมเช่นไร  และมีการย่นระยะภาพมีลักษณะกินตามากน้อยเช่นไร  โครงสร้างเช่นนี้เรียกกันโดยทั่วไปว่า ทัศนียภาพวิสัยเชิงเส้นเฉียง หรืออาจจะเรียกในชื่อหนึ่งว่า การถ่ายรูปร่างวัตถุโดยวิธีลากเส้นขนานแบบคาวาลิเยร์ | 
              
                |  | 
              
                |  | 
              
                | การถ่ายทอดรูปร่างวัตถุในงานเขียนแบบ (Oblique Projection) | 
              
                | การถ่ายทอดรูปร่างวัตถุในงานเขียนแบบ (Oblique Projection) | 
              
                |                 การถ่ายทอดรูปร่างวัตถุในงานเขียนแบบ  โดยวิธีลากเส้นเฉียง โดยเส้นของเส้นแกนของวัตถุ 2 เส้น  จะขนานไปกับพื้นระนาบภาพ ทำให้ด้านหน้าของวัตถุประเภทแท่งเหลี่ยม  แสดงให้เห็นในลักษณะสัดส่วนที่เป็นจริง คือมีมุมทั้งสี่เป็นมุม 90 องศา  แกนที่สามของวัตถุจะแสดงในลักษณะเฉียง และมีสัดส่วนที่ตัดทอนในลักษณะกินตา  ถ้าแกนที่สามอยู่ในมาตราส่วนเดิม แต่ทำมุมกับพื้นระนาบภาพลดลง 45 องศา  การถ่ายรูปร่างในแบบนี้เรียกว่า การถ่ายรูปร่างวัตถุแบบคาวาลิเยร์ | 
              
                |  | 
              
                |  | 
              
                | ผังภาพในการวาดเขียน (Schema) | 
              
                | ผังภาพในการวาดเขียน (Schema) | 
              
                |                 ผังภาพในการวาดเขียน  ภาพที่ถ่ายทอดแผนผังในลักษณะสามัญอย่างง่ายๆ ทั่วๆไป  เพื่อแนะให้รู้ถึงลักษณะการจัดวางและสัดส่วนที่ถูกต้อง ผังภาพเรขาคณิตมักจะถูกนำมาใช้ในการสอนนักเรียนเกี่ยวกับการวาดร่างคนโดยใช้รูปกรวย  แท่งเหลี่ยม และเส้นแสดงความสัมพันธ์และสัดส่วนของร่างกาย เช่น ส่วนหัว ส่วนอก  และแขนขา ส่วนหัวมักจะถูกทดแทนด้วยรูปไข่  เส้นตั้งบนรูปไข่บอกถึงแนวสันกลางบนใบหน้าซึ่งเป็นที่ตั้งของจมูกปากและคาง  ส่วนเส้นโค้งที่ตัดขวางจะบอกถึงที่ตั้งของดวงตา ปลายจมูกและปาก | 
              
                |  | 
              
                |  | 
              
                | ภาพวาดปูนแห้ง (Secco) | 
              
                | ภาพวาดปูนแห้ง (Secco) | 
              
                |                 ภาพวาดปูนแห้ง  เป็นกลวิธีการสร้างจิตรกรรมฝาผนังบนพื้นปูนปลาสเตอร์แห้ง  คำนี้ยังใช้เรียกชื่อผลงานสำเร็จอีกด้วย คำว่า เซกโก เป็นภาษาอิตาเลียนแปลว่า “แห้ง” กลวิธีนี้บางครั้งก็ใช้คำที่มีความหมายตรงกันข้ามมาใช้เรียกอยู่ร่วมกันในคำๆเดียวว่า เฟรสโก เซกโก (เฟรสโก แปลว่า สด)  การทำงานภาพวาดปูนแห้งนี้ทำโดยการใช้สีที่บดผสมกับตัวผสานเนื้อสี เช่น  โปรตีนน้ำนมหรือสารข้นผสานเนื้อสีฝุ่นชนิดอื่น  แล้วใช้ระบายบนผนังปูนที่แห้งอยู่ตัวแล้ว ผลที่ได้ก็คือภาพที่มีสีสดใส  แต่ก็มีความด้านซึ่งก็คล้ายคลึงกับภาพวาดปูนเปียก  เพียงแต่สีจะไม่สดแจ่มและเข้มข้นหรือบริสุทธิ์เท่า นอกจากนั้นแล้วภาพวาดปูนแห้งไม่ทนทานถาวรดีเท่าภาพวาดปูนเปียก  ซึ่งปูนที่ยังเปียกอยู่จะดูดซับและรัดเนื้อสีเข้าไปในเนื้อ ทำให้สีมิใช่เป็นแต่เพียงวัสดุที่จับอยู่บนผิวผนังแบบปูนแห้งแต่กลายเป็นเนื้อเดียวกับผนังไป  แม้ว่าการวาดภาพปูนแห้งจะเป็นวิธีการเก่าแก่วิธีหนึ่ง  แต่ก็มักจะถือกันว่าเป็นวิธีการที่ดีรองลงมาและใช้ในแง่เป็นหนทางทดแทนวิธีการที่ดีที่สุดเท่านั้น  เนื่องจากกระบวนการทำงานในวิธีการนี้ย่นเวลาและประหยัดเนื้อที่ในการทำงาน  รวมทั้งประหยัดทุนทรัพย์ หรือเพราะเงื่อนไขอื่นๆ  เพื่อทดแทนการทำงานในแบบภาพวาดปูนเปียกแท้ตามประวัติการทำงานกลวิธีวาดภาพปูนแห้งซึ่งนิยมทำกันอย่างกว้างขวางในช่วง  คริสต์ศตวรรษที่สิบเอ็ด เขาจะซัดผนังปูนปลาสเตอร์บริสุทธิ์ที่โบกจนแห้งสนิทดีแล้วด้วยน้ำปูนใสหรือน้ำบาริตาจนเปียกโชก  1 คืนก่อนหน้าที่จะระบายสีและทำซ้ำอีกครั้งในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น สีที่ระบายผนังจะเป็นสีผสมโปรตีนน้ำนม  ที่ผสมกับปูนขาวที่จะช่วยให้สีเกาะยึดได้ทนทาน วิธีการนี้เรียกกันว่า การระบายสีแบบเปียกบนเปียกด้วยปูน  ในกลวิธีวาดภาพปูนขาวผสมกับน้ำจนมีลักษณะคล้ายน้ำนม ไม่ใช่น้ำปูนใสเช่นวิธีการแรก สำหรับเนื้อสีที่มีมักจะแห้งแล้วร่อนหลุดเป็นผง (เช่น สีดำ หรือสีน้ำเงิน)  จะเติมโปรตีนน้ำนมลงในเนื้อสีผสมเล็กน้อย ศิลปินภาพปูนแห้งมักไม่สามารถทนทำงานกับผนังขาวสว่างจ้าได้นาน  จึงมักจะเจือสีลงเพื่อทำให้ผนังมีสีหม่นลงเล็กน้อย  ศิลปินมักระบายสีภาพชนิดนี้สองชั้นทับกัน ชั้นแรกที่ระบายมักเป็นสีอ่อนกว่าชั้นที่ระบายทับ
 คำว่า เซกโก มักจะพบเห็นในหนังสือหรือข้อเขียนของนักเขียนชาวอิตาเลียน เชนนิโน เชนนินี (ประมาณ ค.ศ. 1370 – 1440 ) และนักเขียนอื่นๆ ในลักษณะของการแต่งภาพวาดปูนเปียกที่แห้งแล้วด้วยสีฝุ่นหรือการใช้สีบางชนิดซึ่งต้องใช้ตัวผสานเนื้อสีเพื่อปกป้องมิให้สีหลุดร่อน เช่น สีอุลตรามารีนแท้ ระบายทับลงบนภาพวาดปูนเปียกที่แห้งแล้ว
 | 
              
                |  | 
              
                |  | 
              
                | กลวิธีวาดภาพปูนเปียก (Fresco) | 
              
                | กลวิธีวาดภาพปูนเปียก (Fresco) | 
              
                |                 กลวิธีวาดภาพปูนเปียก  เป็นกลวิธีของการวาดภาพฝาผนังแบบแรกๆ ที่ใช้สีติดทนผสมกับน้ำระบายลงบนผนังที่ฉาบปูนขาวสดๆ  คำๆนี้ก็ยังใช้เรียกชื่อผลงานที่กระทำด้วยกลวิธีนี้อีกด้วย คำว่า เฟรสโก  (ภาษาอิตาเลียน แปลว่า “สด ”) นี้บางครั้งก็เรียกว่า บวนเฟรสโก หรือ เฟรสโกแท้  เพื่อแยกออกจากกลวิธีแบบเซ็กโก หรือเมซโซเฟรสโก ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกันในกลวิธีวาดภาพปูนเปียก  ผนังปูนเปียกจะดูดซับเนื้อสีด้วยปฏิกิริยาการดึงดูดของอณูปูนในผนังที่เปียก  ทำให้สีซึมลงไปในเนื้อปูนเป็นเนื้อเดียวกัน  ถ้ากลวิธีนี้ทำในอาคารด้วยการเตรียมพื้นปูนอย่างมีประสิทธิภาพ  ภาพวาดปูนเปียกจะมีความทนทานเป็นที่สุด สีที่ระบายก็จะคงสภาพอยู่ได้นาน  มิใช่เพราะว่ามีเยื่อของปูนปกป้องอยู่ดังที่เคยเชื่อกัน  แต่เนื่องมาจากว่าภาพชนิดนี้ระบายด้วยเนื้อสีที่ผสมด้วยสารเคมีที่ทำให้มีความเฉื่อย  ภาพวาดปูนเปียกไม่เหมาะที่จะเป็นภาพประดับผนังภายนอก  เพราะศัตรูตัวสำคัญของภาพชนิดนี้คือ  มลภาวะในอากาศและฝุ่นผงที่เสียดสีสร้างความสึกกร่อนเสื่อมโทรมให้แก่ผลงานวาดชนิดนี้  กลวิธีวาดภาพปูนเปียกเป็นกลวิธีที่มีคุณสมบัติของการวาดภาพฝาผนังที่ดีครบถ้วน  มีพื้นผิวด้านที่ดีสมบูรณ์แบบ สีของภาพสดใส  เป็นภาพฝาผนังที่มีรูปแบบเหมาะแก่การประดับขนาดใหญ่ และมีความคงทนที่ยาวนาน
 การทำผนังปูนเปียกนั้นจะมีปฏิกิริยาตามขั้นตอนอย่างเที่ยงตรง  จะต้องเตรียมผนังปูนหลายชั้นก่อนการระบายสี  ผนังปูนประกอบด้วยปูนชั้นแรกซึ่งเป็นชั้นปูนหยาบ ที่เรียกว่า ชั้นขีดข่วน  หรือภาษาอิตาเลียนเรียกว่า ตรูลิซาซิโอ ชั้นปูนสีน้ำตาล หรืออาร์ริกโช ชั้นทราย  หรือ อเรนาโต และชั้นระบายสีหรือเรียกในภาษาอิตาเลียนว่าชั้นอินโตนาโก  ปกติแล้วก่อนที่ชั้นถัดจากชั้นสุดท้ายจะแห้ง จะมีการถ่ายลายที่ร่างไว้บนกระดาษลายปรุด้วยการแตะ  ลูกประคบผงถ่านไปตามรอยปรุ แล้วเน้นเส้นด้วยสีน้ำสีแก่  เพื่อให้เห็นเส้นร่างได้ชัดขึ้น  (ระหว่างยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาภาพร่างมักจะวาดร่างลงโดยตรงบนชั้นปูนอเรนาโตด้วยสีซีโนเปียซึ่งเป็นสีผสมสนิมเหล็กตามธรรมชาติ  และชื่อนี้ก็มักใช้เรียกภาพร่างไปด้วย) ปูนชั้นอินโตนาโกจะฉาบลงบนภาพร่างทีละส่วน  (เรียกว่าจอร์นาเต)  กว้างเท่าที่ศิลปินคาดว่าตนเองจะสามารถระบายสีให้เสร็จได้ในแต่ละครั้ง แล้วแตะลูกประคบลงบนลายปรุซ้ำในปริมณฑลที่เหมาะสมต่อไป  ศิลปินจะระบายสีลงบนชั้นปูนอินโตนาโกจนกว่าจะหมดเวลา  หรือจนกว่าผนังปูนจะแห้งเกินกว่าจะดูดซับสีได้ดี  ปูนในบริเวณที่ยังมิได้ระบายจะต้องถูกตัดทิ้งไปแล้วโบกใหม่ก่อนหน้าการวาดส่วนต่อไป  การเชื่อมผนังปูนใหม่เข้าด้วยกันกับผนังเก่าจะต้องทำโดยวางแผนอย่างระมัดระวังมาก่อน  เช่น ต้องทำในบริเวณที่มีรอยเส้นแสดงทรง  และไม่ควรต่อในบริเวณที่เป็นสีพื้นสีเดียวเรียบๆ นอกเสียจากว่าเป็นภาพประดับบนผนังสูงซึ่งบริเวณปูนที่โบกใหม่ที่เรียกว่า  พอนตาตา จะต้องโบกตามแนวนอนเป็นแถบๆ  มีความกว้างตามระดับความสูงของนั่งร้านที่ค่อยๆลดระดับลง
 กลวิธีวาดภาพปูนเปียกเป็นกลวิธีที่ใช้ในระยะเริ่มแรกของอารยธรรมแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน  เช่นในอารยธรรมมิโนนที่เกาะครีต และใช้กันตลอดมาในประวัติศาสตร์ศิลปะของทวีปยุโรป  ภาพปูนเปียกชุดเยี่ยมยอดซึ่งสร้างขึ้นระหว่าง 200 ปีก่อนคริสตกาล  และ 600 ปีก่อนคริสตกาลในวิหารถ้ำอะชันตะ ที่ประเทศอินเดีย  ซึ่งสร้างความพิศวงให้แก่นักวิชาการศิลปะ เนื่องจากเป็นผลงานที่ปราศจากร่องรอยของรอยต่อบนภาพดังที่ควรจะมีปรากฏ
 ครูช่างชาวอิตาเลียนในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาพัฒนากลวิธีวาดภาพปูนเปียกจนถึงขั้นสูงสุด  ผลงานชิ้นที่งดงามอย่างยิ่งทำโดยจอตโต (ค.ศ.1267 – 1337) อยู่ในโบสถ์อรีนาที่ปาดัว  และในวัดของนักบุญฟรานเชสโก ที่อัสสิสิ และผลงานของปิเอโร เดลลา ฟรันเชสกา (ประมาณ  ค.ศ. 1420 – 1492) ในวัดของนักบุญฟรานเชสโก แห่งอเรซโซ และที่ปาลาสโซ คอมมูนาเล ที่ซาน  เซโปลโกร งานของมิเคลันเจโล (ค.ศ. 1475 – 1564) ในโบสถ์ซีสทีนของวาติกัน  และของราฟาแอล (ค.ศ. 1483 – 1520) ในสแตนซา เดลลา เซญนาตูรา และลอจเจ ที่วาติกัน
 หลังจากคริสต์ศตวรรษที่สิบเจ็ดความนิยมใช้กลวิธีวาดภาพปูนเปียกแท้ในการสร้างสรรค์ภาพฝาผนังเสื่อมถอยลง  และกลับมาฟื้นฟูกันใหม่ในประเทศเม็กซิโก ในการทำงานของโฮเซ เกลเมน โอราชโก (ค.ศ. 1883  – 1949) และดิเอโก รีเวรา (ค.ศ. 1886 – 1957) ในอเมริกาโครงการสหพันธ์ศิลปะ  (ค.ศ. 1935 – 1943) ให้ทุนในการสร้างภาพปูนเปียกหลายชิ้นเพื่อตกแต่งอาคารสาธารณะหลายแห่ง
 จิตรกรรมกลวิธีวาดภาพปูนเปียกที่มีขนาดใหญ่  มีราคาสูง และจะต้องสละเวลาให้กับการทำงานอย่างมาก  ทำให้กลายเป็นกิจกรรมการทำงานที่ท้าทายในปัจจุบัน เนื่องจากจิตรกรจะต้องอาศัยความช่วยเหลือของลูกมือในการโบกปูนหรือช่วยด้านอื่นๆ  และงานนี้จะต้องอาศัยความช่วยเหลือของลูกมือในการโบกปูนหรือช่วยด้านอื่นๆ  และงานนี้จะต้องใช้เนื้อที่ทำงานซึ่งอาจเป็นอุปสรรคแก่การใช้สถานที่  หรืออาจเป็นสาเหตุให้การทำพิธีเปิดอาคารล่าช้าลง  การทำงานกลวิธีนี้จึงถูกดัดแปลงตัดทอนขั้นตอนกระบวนการลงเพื่อทำให้งานสำเร็จรวดเร็วและสะดวกขึ้น  ภาพฝาผนังจึงมักระบายด้วยสีน้ำมันกันเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ยังใช้สีประเภทโปรตีนน้ำนม  สีพอลิเมอร์ กลวิธีวาดภาพฝาผนังปูนแห้งและสีฝุ่นด้วยเหมือนกันงานภาพวาดปูนเปียกปัจจุบันมักจะทำบนฝาผนังด้านเดียวในห้องขนาดเล็ก
 | 
              
                |  | 
              
                |  | 
              
                | หลักทัศนียภาพวิทยาเชิงเส้น (Linear perspective) | 
              
                | หลักทัศนียภาพวิทยาเชิงเส้น (Linear perspective) | 
              
                |                 หลักทัศนียภาพวิทยาเชิงเส้น  ระบบมาตรฐานของทัศนียภาพวิทยาเชิงเส้นเรขาคณิต  ซึ่งมีมาตรฐานมาจากโครงสร้างบนพื้นระนาบภาพ (Picture plane) ซึ่งอาจมาจากโครงสร้างที่มีอยู่จริงหรือจินตนาการขึ้น  โครงสร้างนั้นอยู่ในลักษณะของเส้นซึ่งตั้งฉากคู่ขนานกัน เบนเข้าบรรจบกันที่จุดรวมสายตา(Vanishing  point) บนเส้นขอบฟ้า (Horizon line) พื้นระนาบภาพจะแบ่งความลึกของพื้นที่ตามแนวนอนออกเป็นเขตต่างๆ  ( Zones of recession) โครงสร้างของรูปแท่งสี่เหลี่ยมผืนผ้าอาจถูกถ่ายทอดตามหลักทัศนียภาพวิทยาเชิงเส้นได้  3 ระบบ คือ หลักทัศนียวิสัยเชิงเส้นขนาน หลักทัศนียวิสัยเชิงมุม  และหลักทัศนียวิสัยเชิงเส้นเฉียง (Parallel perspective, Angular  perspective, Obvious perspective) หลักทัศนียภาพวิทยาเชิงเส้นซึ่งได้คิดค้นและฝึกฝนกันมาตั้งแต่สมัย ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา เป็นระบบการถ่ายทอดความเป็นสามมิติลงบนผลงานสองมิติที่แตกต่างไปจากการถ่ายทอดทัศนียวิทยาเชิงอากาศ  (Aerial perspective) ซึ่งมีรากฐานจากการใช้สีระบายสร้างมิติหรือความรู้สึกนูน-เว้า ใกล้-ไกล ขึ้นในภาพ  หรือจากระบบเฉพาะ เช่น การถ่ายทอดโดยใช้วิธีการ ทัศนียวิสัยเชิงลอย (Sotto  in su) ซึ่งใช้ในการแก้ปัญหาด้านทัศนวิสัยบางประเภท โดยเฉพาะ  เมื่อผลงานศิลปะถูกกระทำโดยยึดหลักเกณฑ์ด้านทัศนียภาพวิทยาเชิงเส้นอย่างเป็นระบบ  ผลงานนั้นจะได้รับการขนานนามว่า เป็นงานที่ยึดหลักเกณฑ์อย่างเคร่งครัด  แต่จากคำแนะนำในตำรา หรือคู่มือสำหรับการปฏิบัติงานศิลปะ  ซึ่งเขียนขึ้นในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 18 เกี่ยวกับเรื่องการใช้หลักการทัศนียภาพวิทยา มักจะแนะจิตรกรมิให้ยึดติดกับหลักการอย่างเอาเป็นเอาตายจนเกินไปนัก | 
              
                |  | 
              
                | ภาพวาดลายเส้น (Line Drawing) | 
              
                | ภาพวาดลายเส้น (Line Drawing) | 
              
                | ภาพวาดลายเส้น เป็นงานวาดเขียนซึ่งถ่ายทอดรูปลักษณ์ต่างๆ ด้วยเส้นดังเช่น การวาดเส้นขอบและการวาดเส้นแสดงทรง รวมทั้งการสร้างความลวงตาของมิติที่ 3 ใน งานจิตรกรรมด้วยเส้นโดยใช้ดินสอ ปากกา สีเทียน หรือเครื่องมือปลายโลหะที่ใช้เขียนเส้น
 ในแม่พิมพ์โลหะต้นแบบของภาพพิมพ์แกะลายเส้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลวิธีการพิมพ์ที่ใช้เส้น
 | 
              
                |  | 
              
                | จำนวนผู้เข้าชม | 
              
                |   |